Phang-nga
คำแนะนำดีๆสำหรับผู้ที่รักการเดินทางสู่ธรรมชาติ ^^
วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557
หาดบางสัก
ภูตาจอ
นายสมชาย ทิพย์พิมล นายก อบต.เหล เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกแหล่งท่องเที่ยวภูตาจอ จัดให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวขึ้นมา มีการปรับเส้นทางถนนเข้าไปยังจุดชมวิว มีการปรับพื้นที่ลานกางเต็นท์ ห้องน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว โดยจัดมีชาวบ้านที่คุ้นเคยและชำนาญพื้นที่ขึ้นไปคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกตามความเหมาะสม
ดั้งเดิมคือ เส้นทางเหมืองเก่า ประวัติดั้งเดิมว่า มีตาจอ หรือนายจอ เป็นผู้บุกเบิกเข้ามาทำเหมืองเป็นคนแรก จนกระทั่งได้มีผู้คนเข้าไปทำเหมืองกันมากมาย เนื่องจากในสมัยนั้นราคาแร่ดีบุก มีราคาดีมาก
การเดินทางเข้าไปยังภูตาจอ เริ่มจากบ้านเหล แล้วจะมีแยกเข้าป่า ซึ่งต้องใช้รถโฟร์วิลล์ เนื่องจากมีสภาพเส้นทางป่าเขา จุดแรกจะผ่านหน่วยพิทักษ์ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนปริวรรต และต่อจากนั้นจะพบป้ายลงไปน้ำตกโตนต้นหมาก เมื่อขับรถไต่ระดับความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานมาเลย์ คือ บริเวณที่ชาวมาเลย์เข้ามาตั้งแค้มป์เพื่อจะทำเหมืองดินขาวที่มีอยู่มากมายในบริเวณเหมืองแร่ดีบุกเก่าแก่แห่งนี้ แต่ชาวบ้านได้คัดค้านเอาไว้ จนต้องเลิกลาถอนทัพออกไป
สิ้นสุดเส้นทางรถ จะเป็นลานกางเต็นท์พื้นที่กว้างใหญ่ ปราศจากต้นไม้ให่แต่อย่างใด กลางวันจะร้อน นักท่องเที่ยวควรขึ้นไปสักช่วง 3-4 โมง กำลัง เพราะอากาศจะไม่ร้อน เรื่องน้ำใช้สอยทั่วไปจะมีบ่อน้ำจากขุมแร่ พออาบน้ำได้ และนำมาใช้สอยในห้องน้ำ ส่วนน้ำดื่มควรนำมาจากบ้านให้เพียงพอ
จุดชมวิวเดินขึ้นไปประมาณ 10 นาที ไม่สูงขันมากสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ป่าได้ 360 องศา จึงจัดว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่กำลังมาแรงอีกแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงยามเช้าตรู่ เราจึงได้เห็นสายหมอกไหลคลอเคลียไปตามยอดเขาทางด้านตะวันออก และด้านทิศใต้ ส่วนกลุ่มทะเลหมอกที่แผ่คลุมผืนป่าอย่างแน่นนั้นจะอยู่ทางตะวันตกผืนทะเลหมอกสีขาวโพลนที่เกิดตัวเป็นกลุ่มแน่นหนา แม้ว่าแสงแดดจะสาดแสงแรงกล้าแค่ไหน กลุ่มทะเลหมอกก็ยังไม่ขยับไปไหน ยังคงเป็นภาพอันตระการตา สมกับคำร่ำลือถึงความงดงามบริสุทธิ์ของผืนทะเลหมอกที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดพังงา
ภาพผืนทะเลหมอกที่ยังปรากฏอยู่เหนือผืนป่า และเคียงข้างกับผืนฟ้าเหนือป่าเขาภูตาจอ จะเป็นภาพความงดงามของการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองพังงาที่เราเชื่อมั่น “ภูตาจอ” ที่ทุกคนน่าไปลองสักครั้ง
สิมิลัน
เกาะปันหยี
ถ้ำพุงช้าง
หนึ่งใน Unseen Thailand ของเมืองไทย ถ้ำพุงช้าง จ.พังงา เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ และคุ้มค่าแก่การค้นพบเป็นอย่างยิ่ง ทริปนี้หมูหินดอทคอมจะพาเพื่อน ๆ ชาวหมูหินไปสัมผัสกับความงดงามและมหัศจรรย์ ของหินงอก หินย้อย รูปทรงแปลกตา สวยงามมาก ๆ ที่ “ภูเขาช้าง” หรือ “ถ้ำพุงช้าง” แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากน้ำมือคือธรรมชาติล้วน ๆ ไปชมความประทับใจที่เราเก็บมาฝากกันได้เลยค่ะ
ถ้ำพุงช้าง อยู่ในเขตเทศบาลเมืองพังงาหลังศาลากลางจังหวัด ก่อนเข้าตัวตลาดพังงา มีทางราดยางเข้าไป 500 เมตร ถึงวัดประพาส ประจิมเขต แล้วเดินเข้าไปยังถ้ำในบริเวณวัดได้ สภาพภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยและธารน้ำไหลตลอดปี
ภายใน ภูเขาช้าง สัญลักษณ์ของเมืองพังงาซึ่งรูปลักษณ์คล้ายช้างหมอบนี้ มี ถ้ำพุงช้าง ซึ่งอยู่ภายในบริเวณวัดประจิมเขต หลังศาลากลางจังหวัด ถนนเพชรเกษม เป็นถ้ำใหญ่ที่อยู่ใจกลาง ภูเขาช้าง ซึ่งเรียกบริเวณนี้ว่า " พุงช้าง " ประกอบด้วยถ้ำเล็กถ้ำใหญ่มากมายและเป็นถ้ำที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เคยเสด็จฯมาเยือน และได้ทรงลงพระปรมาภิไธยไว้ทางด้านหน้าของถ้ำ ภายในถ้ำมีความงดงามและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติของหินงอกหินย้อยที่มีสภาพที่สมบูรณ์มากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง มีสายน้ำไหลผ่านกลางถ้ำตลอดปี แสดงให้เห็นถึงการไหลเวียนและการถ่ายเทของอากาศตลอดเวลา มีทั้งช่วงน้ำลึกและช่วงน้ำตื้น ในตลอดการเดินทางเข้าไปในถ้ำจะสัมผัสได้ถึงระดับความลึกของน้ำที่ไม่เท่ากัน การเที่ยว ถ้ำพุงช้าง ถือได้ว่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงผจญภัย เพราะนักท่องเที่ยวจะต้องเดินลุยน้ำ นั่งแพ และนั่งเรือแคนนู เพื่อเข้าไปชมหินงอกหินย้อยที่เป็นฝีมือธรรมชาติ หยดน้ำที่หยดจากติ่งปลายของหินงอกหินย้อย เมื่อกระทบกับแสงไฟฉายของเรา ก็เกิดประกายเหมือนประกายเพชร ถ้าได้มีโอกาสไปเห็นด้วยตาตนเอง จะบอกว่า สวยงามเกินบรรยายค่ะ หินงอกหินย้อยมีลักษณะของรูปคนตกปลา รูปแป๊ะยิ้ม รูปปลา โดยเฉพาะช้างหลากรูปแบบที่แปลกตาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน เรียกได้ว่า แล้วแต่จินตนาการของคุณด้วยค่ะ ว่าจะสามารถมองเห็นเป็นรูปอะไร ไม่ว่าจะเป็นหินงอกหินย้อยรูปช้างร้อย ๆ เชือกเดินตามกันเป็นวงรอบ หินงอกรูปช้างนั่งอยู่ใต้©ัตรภายในถ้ำ บันไดสีทองเกิดจากหินงอกอันวิจิตรยิ่งเมื่อถูกแสงไฟจะเป็นประกายสวยงามมาก การเดินเที่ยว ถ้ำพุงช้าง ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงด้วยกัน การแต่งกายควรสวมขาสั้น รองเท้าแตะที่เป็นยาง เหตุที่ต้องใส่เพราะว่า นอกจากเราจะนั่งเรือแคนนูเข้าไปในถ้ำแล้ว เรายังไปนั่งแพรไม้ไผ่ต่อ แล้วสุดท้ายแล้วต้องเดินเข้าไปเอง ระดับน้ำในช่วงที่เราเดินไปนั้น ก็ไม่ลึกเท่าไหร่ ประมาณหัวเข่าเองค่ะ นอกจากนี้แล้ว ถ้ำพุงช้าง เป็นแหล่งที่สองของประเทศไทย ที่มีการค้นพบค้างคาวคุณกิตติ ซึ่งเป็นค้างคาวที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก
ประวัติและความเป็นมาของ “ เขาช้าง และ ถ้ำพุงช้าง” นี้เชื่อกันว่า มีที่มาจากตำนาน ตายมดึง ซึ่งปัจจุบันได้ถือเอา "ช้าง" เป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพังงา โดยเขาช้างเป็นภูเขาสำคัญของจังหวัดพังงา อยู่หลังศาลากลางจังหวัดพังงาและเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดพังงาด้วย ตามตำนาน เล่าว่า ตายมดึง ผู้ร่อนเร่พเนจรได้ขออาศัยอยู่กับ ตาโจงโดง ตายมดึงเป็นคนขยัน ตาโจงโดง จึงยกลูกสาวชื่อนางทองตึง ให้เป็นภรรยา สองสามีภรรยาจึงออกมาตั้งเนื้อตั้งด้วยการทำสวนทำไร่ แต่ขณะไร่นาได้ผลกลับมีช้างป่าโขลงหนึ่ง มาเหยียบย่ำทำลายหมด ตายมดึงเสียดายและโกรธมาก จึงถือหอกเป็นอาวุธตามล่าช้างโขลงนั้น แต่ ตายมดึง แต่กลับไปเจอช้างของตางุ้ม(ตามประวัติบอกว่าเป็นช้างนิสัยดี) ตายมดึงเข้าใจว่าเป็นช้างป่าที่มากินพืชผลของตน จึงฆ่าช้างเชือกนั้นตาย โดยการใช้หอกทะลวงแทงที่ท้อง ลากตับไตไส้พุงเอามาทำอาหารกินและตัดงาออกด้วย ช้างที่ไร้ความผิดนั้นตาย แต่ด้วยอนุภาพของความดีของช้างเชือกนั้น จึงกลายมาเป็น "เขาช้าง" โดยนัยว่าจะประท้วงคนที่ฆ่า(ว่าอย่างนั้น) เพื่อบอกให้รู้ว่าตนเองนั้นไม่ผิดและรูที่ถูกหอกทะลวงแทงที่ท้องช้างตางุ้ม ก็กลายเป็น "ถ้ำพุงช้าง" ส่วนงาของช้างตางุ้ม ที่ถูกตายมดึงตัดไปนั้น ถูกนำไปพิงไว้ที่ "เขาพิงกัน "(ว่ากันว่างาช้างคู่นี้เดิมทีเก็บเอาไว้ในจวนผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา และต่อมาทุกวันนี้ก็ได้เก็บไว้ในห้องทำงานของผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา) ส่วน ตางุ้ม เจ้าของช้างที่ไร้ความผิดว่ากันว่าเป็นเจ้าของช้างเมื่อช้างของตนหายไปก็ออกตามหา และมาพบว่าช้างตนถูกตายมดึงฆ่าตายแล้ว ตางุ้มก็นั่งตรอมใจร้องไห้จนตายกลายเป็น "เขาตางุ้ม" ใกล้ ๆ กับซากช้างนั่นเอง (เขาช้าง)อยู่ห่างจากเขาช้างประมาณ 1 ก.ม. อีกด้านหนึ่ง นายธรรมธนกฤษณ์ หาญช้าง อยู่บ้านไม่มีเลขที่ หมู่ที่ 2 ต.ลำแก่น อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เล่าเพิ่มเติมเอาไว้ว่า หลังจากที่ช้างป่าออกมากินพืชผลของ ตายมดึง ที่ปลูกเอาไว้แล้ว ตายมดึง โกรธอย่างที่ว่ามา จึงได้เตรียมหอก (อาวุธชนิดหนึ่ง) ซึ่งตามคำบอกเล่าว่าด้ามหอกนั้นยาวมาก และตามยมดึง ลากหอกตามหาช้างที่มากินพืชผลตนเองอยู่หลายวัน และด้ามหอกที่ ตายมดึงลากไปลากมาไปขีดขูดกับพื้นดินจนกลายเป็น "คลองลากหอก" บางตำนานก็ว่าคือ คลองพังงา ในปัจจุบันอยู่ใกล้กับเมืองพังงา
เกาะตาชัย
เกาะตาชัย ถูกสำรวจพบมานานแล้ว แต่เพิ่งจะขึ้นตรงกับ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน และเปิดให้นักท่องเที่ยวได้ไปยลโฉมความงามได้ไม่นาน ทำให้ตอนนี้บน เกาะตาชัย ยังไม่มีบ้านพักไว้คอยบริการ แต่ทางอุทยานฯ อนุญาตให้กางเต้นท์พักค้างคืนได้ มีห้องน้ำแยกชายหญิงเป็นสัดส่วน โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ซึ่งช่วงเวลาที่ เกาะตาชัย งดงามที่สุดคือเดือนกุมภาพันธ์ ? เมษายน จากนั้น เกาะตาชัย จะปิด 6 เดือน เพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู
สำหรับจุดเด่นที่ทำให้ เกาะตาชัย กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใคร ๆ ก็อยากเดินทางไปชื่นชม คือ ชายหาดทรายขาวเม็ดละเอียด เนื้อนุ่ม ที่มีความยาวทอดตัวขนานไปกับผืนน้ำประมาณ 700 เมตร และการเดินป่าเข้าไปดู ปูไก่ ปูน้ำจืดที่ชอบอาศัยอยู่ตามธารน้ำ มีลำตัวสีแดงสด มีก้ามสีดำเหลือบน้ำเงิน เวลาร้องจะมีเสียงคล้ายไก่ ชอบออกหากินในช่วงกลางคืน รวมถึงเป็นจุดดำน้ำดูปะการังที่ทอดตัวยาวขนานกับชายหาด ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเมืองไทย
เขาตะปู
เกาะตาปู เป็นเขาหินปูน (Limestone) มีอายุยุคเพอร์เมียน(Permian) หรือประมาณ 295-250 ล้านปี เนื่องจากหินปูนมีคุณสมบัติสึกกร่อนจากการละลายน้ำได้ง่าย ดังนั้นเกาะต่าง ๆ ในบริเวณอ่าวพังงาจึงมีรูปร่างแปลก ๆ และมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการผุพังทำลายของเนื้อหิน
กำเนิดของเกาะตะปูมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลสมัยโบราณ เดิมเกาะตะปูและเกาะเขาพิงกันด้านตะวันออกมีสภาพเชื่อมต่อเป็นผืนเดียวกัน และอยู่บนผืนแผ่นดิน การเคลื่อนไหวของเปลือกโลกในเวลาต่อมา ทำให้เกิดมีรอยเลื่อนใหญ่เป็นแนวยาวพาดผ่านพื้นที่อ่าวพังงาด้านตะวันตก เรียกว่ารอยเลื่อนคลองมะรุ่ย รอยเลื่อนนี้ทำให้เกิดรอยเลื่อนย่อย ๆ ติดตามมาดังจะเห็นได้จากรอยเลื่อนที่เขาพิงกัน รอยเลื่อน รอยแตก และรอยแยกที่พบในหินปูนเกาะตะปู นอกจากนั้น รอยเลื่อนยังทำให้เกิดการหักพังของหินขึ้นในบริเวณรอยต่อระหว่างเขาตะปูและเขาพิงกันทางด้านตะวันออก ทำให้เขาตะปูแยกออกมาเป็นเขาลูกโดด
แผ่นดินเขาตะปูและเขาพิงกันได้รับอิทธิพลจากน้ำทะเลที่แผ่ขยายเข้ามาท่วมในช่วงหลังสุดเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่ผ่านมา ทำให้พื้นที่เขาพิงกัน และเขาตะปูมีสภาพเป็นเกาะ โดยบริเวณเขาตะปูเป็นหัวแหลมยื่นออกไปในทะเล ต่อมาหัวแหลมถูกคลื่นกัดเซาะและขัดเกลา จนกระทั่งมีรูปทรงเรียวและขาดออกจากตัวเขาพิงกันตะวันออกอย่างเด่นชัด มีสภาพเป็นเกาะหินโด่ง
น้ำทะเลที่ขึ้นสูงสุดเมื่อประมาณ 6,000 ปีที่ผ่านมา มีระดับสูงกว่าระดับปัจจุบันประมาณ 4 เมตร การขึ้นลงของน้ำทะเล ได้กัดเซาะเกาะตะปูให้เกิดเป็นแนวรอยน้ำเซาะหิน เว้าเข้าไปที่ระดับดังกล่าว ต่อมาน้ำทะเลลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 2.5 เมตร จากระดับน้ำทะเลปัจจุบัน ระดับน้ำทะเลใหม่ได้กัดเซาะส่วนล่างของเกาะตะปูให้เกิดเป็นรอยน้ำเซาะหินแนวใหม่ คือ ระดับที่เป็นส่วนคอดกิ่วที่สุด และเป็นบริเวณที่มีสิ่งมีชีวิตเช่น หอย เพรียง เกาะอาศัยอยู่โดยรอบเมื่อได้นำซากหอยนางรมที่ติดอยู่ในแนวรอยกัดเซาะนี้ไปหาอายุโดยวิธีคาร์บอนรังสี (C14) ได้อายุประมาณ 2,620 + 50 ปี แสดงว่ารอยคอดกิ่วนี้เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลเมื่อเวลาประมาณ 2,500 ปีที่ผ่านมา หลังจากนั้นน้ำทะเลจึงลดระดับลงมาอยู่ที่ระดับปัจจุบัน ส่วนที่คอดกิ่วที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 ปีที่ผ่านมานี้เอง ทำให้เกาะตะปูมีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศ
เกาะตะปูมีปัญหาการพังทลาย อันเกิดจากการกัดเซาะกัดเซาะของน้ำทะเล การขุดเจาะเนื้อหินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์จำพวกหอยนางรม เพรียง ปู ฯลฯ ความแรงของคลื่นลมในฤดูมรสุม การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของโลก เนื่องจากปฏิกิริยาเรือนกระจกอันอาจมีผลให้คลื่นลมเปลี่ยนความเร็ว และสุดท้ายคือการ ถูกรบกวนด้วยกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การจอดเรือโดยการทิ้งสมอการผูกเรือไว้รอบเกาะ รวมทั้งคลื่นจากเรือหางยาวที่วิ่งรอบเกาะ